บลจ.BCAP ประกาศจ่ายปันผลกอง BCAP-GPROP ในอัตรา 0.53 บาทต่อหน่วยสำหรับผลการดำเนินงานรอบ 1 เม.ย. 64 – 31 มี.ค. 65 กำหนดจ่ายวันที่ 23 มิ.ย.นี้ พร้อมแนะนำนักลงทุนกระจายความเสี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายช่วงสถานการณ์ดอกเบี้ยขาขึ้น โดยแนะลงทุนกองอสังหาฯ BCAP-GPROP เหตุมุ่งเน้นลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกที่สร้างรายได้จากค่าเช่าสม่ำเสมอ
นางเมธ์วดี ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล หรือ BCAP เปิดเผยว่า กองทุนเปิดบีแคป โกลบอล พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ เฟล็กซ์ (BCAP-GPROP) เตรียมจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน สำหรับผลการดำเนินงานรอบบัญชีวันที่ 1 เม.ย. 2564 ถึงวันที่ 31 มี.ค. 2565 ในอัตรา 0.53 บาทต่อหน่วย โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุน และขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 13 มิ.ย. 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผล วันที่ 23 มิ.ย. 2565
สำหรับกองทุนรวม BCAP-GPROP มีนโยบายเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างรายได้จากค่าเช่าสม่ำเสมอ โดยกองทุนลงทุนในสี่สินทรัพย์หลัก ได้แก่ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และ Property Fund ในประเทศ กองทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ และโครงสร้างพื้นฐานต่างประเทศ เพื่อมุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก และกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
“BCAP ประเมินภาวะการลงทุนในปัจจุบันมีความท้าทายเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากทั้งอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ และไทย เร่งตัวขึ้น แตะที่ 8.6% และ 7.1% ซึ่งระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี และ 13 ปีตามลำดับ แม้เงินเฟ้ออาจจะทยอยปรับลดลงในช่วงข้างหน้าแต่เราประเมินว่าเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางอีกระยะหนึ่งจากปัจจัยลบเรื่องการรุกรานยูเครนของรัสเซียจนส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์และปัญหาเรื่องห่วงโซ่อุปทาน (Supply-Chain Disruption) อีกทั้งการอัดฉีดเงินเข้าระบบมากจนเกินไปจนเกิดความต้องการส่วนเพิ่ม จนเป็นที่มาของการเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และท่าทีของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่เริ่มให้น้ำหนักเรื่องความเสี่ยงของราคามากกว่าความเสี่ยงเรื่องการเติบโต จนส่งผลให้ตลาดเทน้ำหนักว่าจะเริ่มเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของไทยในเร็ว ๆ นี้”นางเมธ์วดีกล่าว
นางเมธ์วดีกล่าวว่าทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นจะส่งผลกระทบลบต่อทั้งตราสารหนี้และตราสารทุน โดยในแง่การลงทุนในหุ้น ความสามารถในการสร้างกำไร (Earnings) ของบริษัทจดทะเบียนจะลดลง และการถูกประเมินมูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ที่ลดลง ซึ่งทั้งสองประเด็นจะทำให้ผลตอบแทนของหุ้นต่ำ ลงและมีความผันผวนมากขึ้นในอนาคต
ส่วนในแง่การลงทุนในพันธบัตร ราคาบอนด์จะปรับตัวลดลงในทิศทางตรงข้ามกับอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ BCAP ประเมินว่าราคาบอนด์ได้รับรู้ปัจจัยการขึ้นดอกเบี้ยไปมากพอสมควร โดยเฉพาะพันธบัตรทางฝั่งของสหรัฐฯ นอกจากความเสี่ยงเรื่องทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น นักลงทุนยังเกรงว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนเกินไปของ FED จะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดังนั้นการวางสัดส่วนการลงทุนของ BCAP ในช่วงนี้จึงมีมุมมองที่ค่อนข้างระมัดระวังเป็นพิเศษ
บลจ.BCAP แนะนำให้นักลงทุนให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั้งภายในและต่างประเทศ อีกทั้งยังเน้นความปลอดภัยโดยลดการลงทุนในสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงลงบางส่วน และเพิ่มคุณภาพของหลักทรัพย์ให้สูงขึ้น โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวม BCAP-GPROP ที่มุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกและกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ในสินทรัพย์ที่สร้างรายได้จากค่าเช่าสม่ำเสมอใน 4 หลักทรัพย์ คือ REITs และ Property Fund ในประเทศ กองทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ REITs ต่างประเทศ และโครงสร้างพื้นฐานต่างประเทศ
โดยมองว่าอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงเป็นผลดีต่อการลงทุนใน REITs และโครงสร้างพื้นฐานโดยรวม เนื่องจากโดยปกติรายได้ของสินทรัพย์นี้มักจะผูกกับอัตราเงินเฟ้อ การลงทุนในสินทรัพย์นี้จึงช่วยปกป้องพอร์ตลงทุนจากอัตราเงินเฟ้อได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะประเมินว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวรับรู้เรื่องการขึ้นดอกเบี้ยไปมากแล้ว แต่หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีการปรับขึ้นต่อก็จะเป็นปัจจัยลบต่อราคา BCAP-GPROP เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ให้ Yield คล้ายคลึงกัน