บมจ.บริทาเนีย หรือ BRI รุกหนักไตรมาส 3 เตรียมเปิดตัวที่อยู่อาศัยแนวราบ 4 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวม 4,550 ล้านบาท เพื่อตอบสนองดีมานด์ผู้บริโภค หลังประเมินแนวโน้มตลาดครึ่งปีหลังจะคึกคักขึ้น หลังมีปัจจัยบวกจากภาพรวมเศรษฐกิจที่เริ่มทยอยฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ สถานการณ์ COVID-19 ที่เริ่มคลี่คลายและเตรียมประกาศเป็นโรคประจำถิ่น ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นในการซื้ออสังหาฯ
นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีความคึกคักขึ้น หลังจากมีปัจจัยบวกจากภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มทยอยฟื้นตัวภายหลังการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เริ่มคลี่คลายและการเตรียมตัวประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่น รวมถึงการอนุญาตให้สถานบันเทิงในหลายจังหวัดกลับมาเปิดให้บริการ ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์
บริษัทฯ จึงพร้อมเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ตามแผนงานที่เคยประกาศไว้ โดยในช่วงไตรมาส 3/2565 เตรียมเปิดตัวที่อยู่อาศัยแนวราบอีก 4 โครงการ ภายใต้แบรนด์ “แกรนด์ บริทาเนีย” และ “บริทาเนีย” มูลค่าโครงการรวม 4,550 ล้านบาท เทียบกับช่วงครึ่งปีแรกที่เปิดโครงการใหม่แล้ว 2 โครงการ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและผลักดันผลการดำเนินงานในปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
สำหรับแผนเปิดตัวที่อยู่อาศัยแนวราบ 4 โครงการใหม่ ประกอบด้วย 1) โครงการแกรนด์ บริทาเนีย คูคต สเตชั่น พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด จำนวน 186 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 6.79 – 10.30 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท 2) โครงการบริทาเนีย วงแหวน – ปิ่นเกล้า พัฒนาเป็นบ้านแฝด จำนวน 106 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 5-7 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท 3) โครงการบริทาเนีย โฮม บางนา กม.17 พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด จำนวน 228 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4.99 – 8.99 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท และ 4) โครงการบริทาเนีย ทาวน์ บางนา กม.17 เป็นบ้านแฝดและทาวน์โฮม จำนวน 352 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.99 – 4.99 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท
สำหรับบ้านแนวราบ 4 โครงการใหม่ที่จะทยอยเปิดพรีเซล ล้วนอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ ใกล้แนวรถไฟฟ้าหรือใกล้นิคมอุตสาหกรรมซึ่งเป็นแหล่งงานที่สำคัญ โดยบริษัทฯ ได้นำหลักการ Human Centric หรือยึดผู้อยู่อาศัยเป็นศูนย์กลางมาใช้ในการออกแบบและพัฒนาการให้บริการอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งศึกษาความต้องการพื้นฐานของการอยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคปัจจุบัน เช่น การออกแบบพื้นที่ใช้สอยเพื่อรองรับการทำงานที่บ้าน (Work From Home), เมกะเทรนด์ด้านพลังงานสะอาด เป็นต้น เพื่อออกแบบบ้านที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัย
“เรามองว่าความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวดีขึ้นหากไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบ หลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นผู้บริโภคทยอยปรับตัวดีขึ้น เราจึงพร้อมเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามแผนที่เตรียมไว้ และเชื่อว่าจะสามารถผลักดันยอดพรีเซลรวมถึงยอดรับรู้รายได้ในปีนี้ถึงเป้าหมายที่วางไว้” นางศุภลักษณ์ กล่าว