บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ภายใต้การนำของ พีระพงศ์ จรูญเอก ถือเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยที่มักจะสร้างปรากฎการณ์ใหม่ๆ มาสั่นสะเทือนวงการอย่างต่อเนื่อง
แม้ปี 65 จะประกาศแผนธุรกิจภายใต้แนวคิด Origin Multiverse หรือแผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล ปูทางให้ธุรกิจใหม่ๆ เช่น ธุรกิจบริการด้านอสังหาฯ ธุรกิจโรงแรม ฯลฯ มีเส้นทางการเติบโตคู่ขนานของตัวเอง แต่ออริจิ้น ก็ยังคงสร้างการเติบโตให้ธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็น “ธุรกิจแจ้งเกิด” ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง นับเฉพาะแผนเปิดตัวโครงการคอนโดใหม่ปีนี้ มีมากถึง 19 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 28,600 ล้านบาท ขึ้นแท่น “เจ้าตลาด” ที่เปิดโครงการคอนโดใหม่มากที่สุดในปีนี้
บุกทุกเซ็กเมนต์ราคาและไลฟ์สไตล์
การเดินเครื่องบุกธุรกิจคอนโดมิเนียมของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ยังคงเดินหน้าผ่าน 3 บริษัทหลัก ประกอบด้วย บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด ดูแลกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ดูแลกลุ่มธุรกิจสมาร์ทคอนโดมิเนียม และบริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด ดูแลคอนโดมิเนียมในแถบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
เมื่อถามถึงกลยุทธ์การบุกตลาดคอนโดมิเนียมของเครือออริจิ้นในปีนี้ พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เล่าว่า เป็นการบุกด้วย 2 กลยุทธ์หลัก คือ 1.บุกทุกเซ็กเมนต์ราคาและไลฟ์สไตล์ หลังจากหลายปีก่อน ออริจิ้นแตกแบรนด์ใหม่ๆ จนครอบคลุมทุกระดับราคาตั้งแต่ระดับ Entry ไปจนถึงระดับ Luxury และในวันนี้ ออริจิ้นยังเดินหน้าปั้นแบรนด์ใหม่ๆ ปรับโปรดักส์ตามทำเลซอยย่อยเซ็กเมนต์ของผู้บริโภคตามไลฟ์สไตล์เพิ่มเติม เพราะตระหนักดีว่า ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันไม่ได้ถูกแบ่งด้วยเพียงระดับของสินค้าหรือกำลังซื้อ
“ปีที่แล้ว เป็นปีที่เราเริ่มลองบุกตลาดกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ พัฒนาคอนโดสำหรับกลุ่มสตาร์ทอัพ กลุ่ม Pet Lover กลุ่มนักศึกษาและคนทำงานมหาวิทยาลัย หรือ Campus Condo กลุ่มนักลงทุน ตลาดเหล่านี้ได้รับการตอบรับดีมาก ปีนี้เราจึงบุกตลาดเหล่านี้ต่อเนื่อง พร้อมกับมีแบรนด์ใหม่ที่มีบุคลิกของแบรนด์แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ เพิ่มเติม เช่น So Origin และ Origin Play มาช่วยกันบุกตลาดทุกไลฟ์สไตล์ ทุกเจเนอเรชั่น” พีระพงศ์ กล่าว
บุกรถไฟฟ้า 8 สายทั่วกรุงเทพฯ และ EEC
2.บุกทำเลรถไฟฟ้าทั้งปัจจุบันและอนาคต ในอดีต ออริจิ้นเติบโตมาจากการใช้กลยุทธ์เจาะตลาด Blue Ocean หรือตลาดศักยภาพที่ยังไม่ค่อยมีการแข่งขันมากนัก ในทำเลรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวและแถบ EEC วันนี้ ออริจิ้นยังคงเกาะแนวทางเดิมสำหรับแบรนด์ระดับ Entry ไปจนถึง Mid-High End ส่งผลให้ 19 โครงการของออริจิ้นในปีนี้ กระจายตัวบุกไปยังทำเลรถไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแล้ว รถไฟฟ้าสายที่อยู่ระหว่างก่อสร้างรวม 8 สายครอบคลุมทั่วพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ได้แก่ สายสีเขียวอ่อน สายสีน้ำเงิน สายสีม่วง สายสีแดง สายสีชมพู สายสีเหลือง สายสีน้ำตาล และสายสีเทา ควบคู่กับการบุก EEC อย่างหนักหน่วงทั้งในชลบุรีและระยอง
“ปีนี้น่าจะเป็นปีที่เราบุกครอบคลุมรถไฟฟ้าหลายสายที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้ง และเป็นครั้งแรกที่บุกไปสร้างคอนโดในฝั่งธน เรายังเชื่อมั่นว่า กลยุทธ์ Blue Ocean ยังคงใช้ได้สำหรับหลายๆ เซ็กเมนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่คน ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน พิสูจน์ได้จากยอดขายของออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น ที่วันนี้มียอดขายสะสมแล้วถึงราว 70%” พีระพงศ์ ย้ำ
ทั้งนี้ ออริจิ้น ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าจะบุกเฉพาะทำเล Blue Ocean เหมือนในอดีตเท่านั้น แต่ให้ความสำคัญกับทำเลศักยภาพที่มีดีมานด์เพียงพอด้วย เช่น ทำเลอินเตอร์เชนจ์ หรือจุดเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้าหลายสาย ทำเล CBD ใจกลางเมือง ขึ้นกับความเหมาะสมของดีมานด์ในพื้นที่
เข้าใจ Insight คือ Key Success
ภาพรวมแบรนด์หลักที่ใช้บุกตลาดคอนโดมิเนียมของเครือออริจิ้นปีนี้ ประกอบด้วย โซ ออริจิ้น (So Origin) คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ที่มาพร้อมบริการระดับ Excellent Services ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play) เจาะกลุ่มสตาร์ทอัพ ให้พื้นที่กว้างกว่า พร้อมห้องพักแบบ Duo Space เพดานสูง 4.2 เมตรในบางทำเล แฮมป์ตัน (Hampton) และออริจิ้น เพลส (Origin Place) เจาะกลุ่มนักลงทุน ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play) เจาะกลุ่ม Gen Z บริกซ์ตัน (Brixton) เจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ต เช่น Campus Condo, Pet Lover Condo ในราคาเข้าถึงได้
“เรากล้าบุกหนัก เพราะทีมงานของเราทำการบ้านกันหนักมากมาตลอด เพื่อให้เข้าใจ Insight ของผู้บริโภค เราพยายามมองทุก Journey ของผู้บริโภค ตั้งแต่ตอนก่อนซื้อ ตอนเข้าอยู่แล้ว ว่าแต่ละจังหวะผู้บริโภคอยู่ตรงไหน ทำอะไร และต้องการอะไรบ้าง ฟังก์ชันที่เราให้ผู้บริโภค จึงอาจไม่ได้เป็นฟังก์ชันที่เยอะที่สุด แต่เป็นฟังก์ชันที่ตรงใจ และตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตจริงๆ ของเขาและโลกยุคใหม่ที่สุด ทั้งหมดถือเป็น Key Success ที่ทำให้เครือออริจิ้นได้รับความไว้วางใจ จนมียอดขาย All Time High ในปี 2564 ได้” พีระพงศ์ ทิ้งท้าย
การประกาศเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ของ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ถือเป็นอีกหนึ่งปรากฎการณ์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างมาก ในช่วงที่หลายๆ บริษัทยังรอดูท่าทีตลาด แต่ด้วยศักยภาพของบริษัท ศักยภาพทำเลที่ตั้งโครงการ คุณภาพโครงการ ความสามารถในการพัฒนาโครงการตามแผนงาน ตลอดจนการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคอย่างแท้จริง พิสูจน์ด้วยผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ทำให้ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เป็นอีกหนึ่งดีเวลลอปเปอร์ที่ต้องจับตามอง
สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย
1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 101 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 1/2565) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN), ดิ ออริจิ้น (The Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 154,100 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร