“ทรีนีตี้” คาดไตรมาส 3 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการโยกย้ายเม็ดเงินจากตลาดหุ้นเข้าสู่ตราสารหนี้หลังเศรษฐกิจโลก ส่งสัญญาณชะลอมากขึ้น ซึ่งจะเป็นความกังวลใหม่ที่เปลี่ยนผ่านมาจากความกังวลด้านเงินเฟ้อและการเข้มงวดนโยบายการเงินที่เตรียมจะผ่านพ้นจุดสูงสุดในไตรมาสนี้ แนะรอซื้อที่ดัชนีแนวรับแรก 1500-1530 จุด ส่วนแนวรับที่ไม่น่าหลุดและเป็นโซน Overweight หุ้นไทยได้คือ 1460-1500 จุด เน้นถือครองกลุ่ม Healthcare / Consumer staples / Utilities / ICT / AMC / Food และ Selective หุ้นคุณภาพที่มีกระแสเงินสดสูง รวมถึง Valuation ต่ำ
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงกลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 3 ปี 2565 ว่า คาดการณ์ช่วงครึ่งแรกของไตรมาสจะยังเป็นช่วงเวลาซึมๆ และอ่อนแรงของตลาดหุ้นไทย จากทั้งปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ นโยบาย ค่าเงิน และสภาพคล่อง มองไตรมาสนี้จะเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านความกลัว จากประเด็นเฟ้อสูงและนโยบายการเงินที่เข้มงวด ไปสู่ความกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะชะลอตัวมากขึ้น ซึ่งหากมีสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนเพิ่มขึ้น คาดว่าจะเห็นระลอกของการโยกย้ายเม็ดเงินออกจากตลาดหุ้นเข้าสู่ตลาดพันธบัตร โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาวที่มากขึ้นได้ (The Great Rotation)
สำหรับ กลยุทธ์การจัดสรรพอร์ตการลงทุนในไตรมาส 3 มองว่านักลงทุนสามารถ Overweight การลงทุนในตราสารพันธบัตรระยะยาวได้ ส่วนทางด้านการลงทุนในหุ้นนั้น ควรเน้นการตั้งรับและรอการเข้าซื้อในจังหวะที่เหมาะสม หรือในช่วงเวลาที่ Valuation ลงมาในระดับที่น่าจูงใจนั่นเอง มองกรอบแนวรับแรกของดัชนี SET ที่น่าสนใจได้แก่บริเวณ 1500-1530 จุด ส่วนระดับแนวรับสำคัญที่ไม่น่าหลุดได้แก่บริเวณ 1460-1500 จุด ซึ่งถือเป็นระดับที่ทำให้ SET กลับมามีความน่าสนใจอย่างมาก ทั้งในมิติของ PBV, PE และ Earning yield gap ทั้งนี้ หากดัชนีหุ้นไทยจะกลับมาไต่ระดับขึ้นได้อีกครั้ง มองว่าจะต้องอาศัยการไหลเข้าของ Fund flow อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งประเมินว่าหากจะเกิดขึ้น น่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลาง-ปลายไตรมาส 3 นี้เป็นอย่างเร็วไปพร้อมๆ กับจุดเปลี่ยนของค่าเงินบาท
นายณัฐชาต กล่าวว่า จากทิศทางทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น ทำให้เราประเมินว่าการจัดสรรการลงทุนรายกลุ่มอุตสาหกรรมในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ สามารถหลีกเลี่ยงหรือ Underweight หุ้นในกลุ่ม Cyclical ไปก่อนได้ ทั้งในฝั่งของ Global เช่น กลุ่ม Oil & Gas / ปิโตรเคมี / อิเล็กทรอนิกส์ / ชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงฝั่งของไทย เช่น กลุ่ม Consumer discretionary / อสังหา / ก่อสร้าง / สื่อฯ / ไฟแนนซ์ เป็นต้น ทั้งนี้หากจะต้องเลือกลงทุนในกลุ่ม Cyclical จริง มองไปยังกลุ่ม Oil retailer ที่ค่าการตลาดเริ่มทรงตัวได้ และ Volume การขายกลับเข้าสู่ภาวะปกติ รวมไปถึง Bank ที่มีฐานลูกค้าเน้นไปทาง Corporate และยังมีสัดส่วนการตั้งสำรองในระดับสูง
ในขณะเดียวกัน กลุ่มที่เรามองว่าค่อนข้างปลอดภัย และมักทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยของไทยเป็นครั้งแรกของ Cycle ได้แก่ กลุ่ม Healthcare / Consumer staples / Utilities / ICT ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เรามองว่านักลงทุนสามารถใช้จังหวะแนวรับที่ให้ไว้ในการทยอยเข้าลงทุนได้ ส่วนกลุ่มอื่นๆที่มองว่าน่าสนใจด้วยเช่นกันจะได้แก่กลุ่มบริหารหนี้ ที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้ม NPL ในประเทศที่เตรียมกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง รวมถึงกลุ่มอาหาร ที่ได้อานิสงส์จากการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงครึ่งแรกของไตรมาส 3 และยังได้ประโยชน์จากราคาเนื้อสัตว์ที่สูงขึ้นด้วย
โดยสรุป หุ้นที่ทางทรีนีตี้แนะนำเป็น Top picks สำหรับการลงทุนในไตรมาส 3 ปี 2022 ได้แก่ ADVANC, BBL, BDMS, CPALL, CPF, GPSC, JMT, OR, RATCH, WHAUP