YLG มองเทรนด์ทองระยะกลางยังอยู่ในขาลง แนะหาจังหวะสะสมหลังลงใกล้ฐานสำคัญ มั่นใจไม่ปรับลดต่ำกว่าราคาหน้าเหมืองที่1,500เหรียญ
วายแอลจีชี้ ทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยแบบไม่แผ่ว มองเป็นโอกาสทะยอยซื้อสำหรับผู้ต้องการถือยาว เหตุราคาทองคำลดลงเข้าใกล้ฐานสำคัญในปี 2564 บวกกับมีต้นทุนหน้าเหมืองประมาณ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากปรับลดต่ำกว่านี้เหมืองจะหยุดผลิตเพราะไม่คุ้มทุน
ส่วนนักลงทุนระยะสั้นยังมีจังหวะเก็งกำไรได้ หลังราคาทองยังไม่หลุดโลว์เดิมที่ 1,680 – 1,676 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากยืนได้มีโอกาสดีดกลับ และมีจังหวะทำกำไร มองแนวต้านที่ 1,734-1,765 ส่วนทองคำในประเทศยังราคาดีจากอานิสงส์บาทอ่อน มองกรอบการเคลื่อนไหวที่ 29,500-30,000 พร้อมแนะโอกาสช่วงทองขาลงสามารถทำกำไรผ่านตลาดฟิวเจอร์สทั้งไทยและต่างประเทศผ่านตลาด TFEX และ CME เพิ่มช่องทองบริหารความเสี่ยงทุกสภาวะ
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้า (TFEX) เปิดเผยว่า ราคาทองคำในตลาดโลกได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องนับจากที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ได้ออกมาประกาศท่าทีในการเดินหน้าควบคุมเงินเฟ้อ ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงต่อเนื่อง
ซึ่งปัจจัยนี้ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนหันไปถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐมากขึ้น ขณะที่ทองคำมีแรงขายออกมาเนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตามหลังจากการประกาศท่าทีดังกล่าวแม้ราคาทองคำจะปรับลดลงไปอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่ได้ทำจุดต่ำสุดใหม่ของปี โดยในเดือน กันยายน ยังสามารถยืนเหนือ 1,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ เนื่องจากเมื่อราคาทองคำปรับลดลงไปค่อนข้างมากก็จะมีแรงซื้อกลับ
จึงมองว่าหากราคาทองคำไม่หลุดจุดต่ำสุดซึ่งเป็นฐานของของปีนี้และปีที่ผ่านมาที่ 1,680 –1,676 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองคำยังมีโอกาสดีดกลับ อย่างไรก็ตามเมื่อทองคำดีดตัวขึ้น แนะนำให้แบ่งขายที่ 1,734-1,765 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ส่วนทองคำในประเทศมองราคายังทรงตัวดีจากการอ่อนค่าของเงินบาท มองกรอบการเคลื่อนไหวระยะสั้นที่ 29,500-30,000 บาทต่อบาททองคำ
“ส่วนสาเหตุที่มีนักลงทุนกลับเข้าซื้อทองคำทุกครั้งที่ราคาปรับลดลงมาแม้เทรนด์ยังเป็นขาลงนั้น มองว่าทองคำจริงๆแล้วเป็นสินทรัพย์สำหรับกระจายความเสี่ยง เป็นทางเลือกในการลงทุน เป็นสินทรัพย์ที่มีปริมาณจำกัด เหมืองทั่วโลกผลิตได้ 3,500 ตันต่อปี
ขณะเดียวกัน ยังมีทองเก่าหมุนเวียนในระบบ กว่า 1,000 ตัน และหากราคาตกมากเหมืองก็จะหยุดผลิต ราคาทองคำจึงไม่ปรับลดลงไปมากกว่าต้นทุนหน้าเหมืองซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
กรณีเฟด มีนโยบายขึ้นดอกเบี้ยราคาทองก็ได้รับผลกระทบเพราะไม่มีผลตอบแทนดอกเบี้ย แต่เมื่อมีวิกฤตคนก็จะหันหาทองคำ นักลงทุนจึงยังกระจายความเสี่ยงมาไว้ที่ทองคำไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรเพราะไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะมีวิกฤตเกิดขึ้นมาตอนไหน” นางสาวฐิภา กล่าว
นอกจากนี้ หากมองย้อนไป 5 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าราคาทองคำเป็นขาขึ้นตลอด เนื่องจากทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตที่จะติดลบ ค่าความผันผวนของพอร์ตจะลดลง เพราะทองคำมีโอกาสเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้นเมื่อหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆปรับตัวลดลง เพราะราคาทองคำจึงมีโอกาสน้อยมากที่จะปรับลดลงต่ำกว่าราคาหน้าเหมือง
จึงแนะนำว่าหากราคาทองคำปรับลดลงเข้าใกล้ราคาหน้าเหมืองเหมาะสำหรับเป็นจังหวะเก็บสำหรับผู้ที่ต้องการสะสม ส่วนคำแนะนำในการลงทุนทองคำนั้นแนะนำว่าพอร์ตการลงทุนที่ดีในการลงทุนทองคำสัดส่วนของการลงทุนทองคำตัวเลขจากสมาพันธ์ทองคำโลกให้ไว้ที่ 5-10%
อย่างไรก็ดี แม้ช่วงนี้ทองคำมีความเสี่ยงปรับตัวลดลงได้ การลงทุนในตลาดฟิวเจอร์สจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเพราะสามารถทำกำไรได้ในทั้งขาขึ้นและขาลง โดยปัจจุบัน YLG ได้เพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนสามารถลงทุนในตลาดฟิวเจอร์สต่างประเทศ ด้วยการร่วมมือกับ CME Group เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่เทรดผ่าน YLG futures สามารถเข้าถึงทุกสินค้าของ CME Group ทุกบริการ
เช่น Precious Metal futures ,Oil futures ,Cryptocurrency futures , Forex futures ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งกองทุนสถาบันในการเข้าไปซื้อขายสินค้า พร้อมเชื่อมต่อ Exchange ทั่วทั้งโลกไม่ว่าจะเป็น จีน ฮ่องกง หรือ สิงคโปร์ ทำให้นักลงทุนและนักเก็งกำไรสามารถจัดการกับความเสี่ยงและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ง่ายขึ้น