SAF เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ชูศักยภาพผู้นำธุรกิจเหล็กกล้าเกรดพิเศษ รุกขยายฐานลูกค้าอุตสาหกรรมหลักของประเทศ พร้อมเดินหน้าลงทุนเสริมความแข็งแกร่ง รับโอกาสเติบโตแบบครบวงจร
‘บมจ. เอส.เอ.เอฟ. สเปเชียล สตีล หรือ SAF’ ผู้นำธุรกิจเหล็กกล้าเกรดพิเศษคุณภาพระดับโลกและการให้บริการชุบแข็งสุญญากาศ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 30 ปี เข้าจดทะเบียนวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
วางเป้าหมายการเติบโตมุ่งเจาะฐานลูกค้าใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ได้แก่ ชิ้นส่วนยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง และอาหาร เตรียมลงทุนขยายคลังสินค้าแห่งใหม่รองรับดีมานด์ และระบบเตาชุบแบบไนไตรดิ้งอย่างครบวงจร พร้อมแสวงหาโอกาสต่อยอดการเติบโตสู่ตลาดต่างประเทศในกลุ่ม CLMV
ดร.พิศิษฐ์ อริยเดชวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส.เอ.เอฟ. สเปเชียล สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ SAF เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำหุ้น SAF เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก (19 มกราคม 2566) ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม
หลังประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 80 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 1.93 บาท นับเป็นก้าวสำคัญและความภาคภูมิใจของคณะผู้บริหาร ทีมงาน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมกับความสำเร็จครั้งนี้
โดยบริษัทฯ พร้อมนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 30 ปีในการจำหน่ายเหล็กกล้าเกรดพิเศษและให้บริการอบชุบสุญญากาศ ซึ่งได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนจำหน่ายเหล็กกล้าเกรดพิเศษคุณภาพสูงจากบริษัทระดับโลกในประเทศเยอรมนี
อาทิ DÖRRENBERG EDELSTAHL GmbH และ WILHELM OBERSTE-BEULMANN GmbH เพื่อต่อยอดการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ด้วยความมุ่งมั่นส่งมอบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและบริการที่มีคุณภาพสูง มุ่งเน้นพัฒนาประสิทธิภาพบุคลากรและกระบวนการดำเนินงานอย่างครบวงจร ตลอดจนให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล (ESG)
ตั้งเป้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ภายหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ SAF วางเป้าหมายขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นเจาะฐานลูกค้าใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักของประเทศที่มีศักยภาพสูง ได้แก่
1) อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งมีความต้องการนำเหล็กกล้าเกรดพิเศษไปใช้ทำเป็นแม่พิมพ์เพื่อผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และเครื่องจักรกลการเกษตร
2) อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง ซึ่งมีความต้องการนำเหล็กกล้าเกรดพิเศษไปใช้เป็นแม่พิมพ์เพื่อผลิตชิ้นงานอะลูมิเนียมกรอบหน้าต่าง ประตู และเพื่อทำเป็นชิ้นส่วนของเครื่องจักรในการผลิตปูนซีเมนต์และเหล็กสำหรับงานก่อสร้าง
3) อุตสาหกรรมอาหาร โดยส่วนใหญ่นำเหล็กกล้าเกรดพิเศษไปใช้ทำเป็นแม่พิมพ์ผลิตกระทะ หม้อ ถังแก๊สหุงต้ม กระป๋อง ขวดบรรจุภัณฑ์ และใช้เป็นชิ้นส่วนเครื่องจักรในกระบวนการผลิตอ้อย เป็นต้น
ทั้งนี้ จะเน้นขยายฐานลูกค้าใหม่นำเสนอบริการชุบแข็งร่วมกับการจำหน่ายเหล็กแม่พิมพ์ รวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมเข้าร่วมประมูลโครงการต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
ต่อยอดสู่New S-curveปั้นยอดขายโตแรง
ขณะเดียวกัน ยังมองหาโอกาสต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมที่เป็น New S-curve เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น ตลอดจนเล็งเห็นถึงโอกาสของการขยายธุรกิจสู่ตลาดประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV ซึ่งบริษัทฯ ต้องเข้าเจรจากับทางคู่ค้า (Supplier) ในประเทศเยอรมนี เพื่อแต่งตั้ง SAF ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าเกรดพิเศษแต่เพียงผู้เดียวในกลุ่มประเทศ CLMV
นอกจากนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการดำเนินธุรกิจใน 2 ปีข้างหน้า (ปี 2566 – 2567) จะมียอดขายเติบโตเฉลี่ยประมาณ 23 – 28% ต่อปี เนื่องจากศักยภาพที่เพิ่มขึ้นในการขยายพื้นที่คลังสินค้า รวมถึงการเพิ่มบริการชุบระบบไนไตรดิ้ง ซึ่งจะทำให้สามารถตอบสนองลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น
ระดมเงินพื่อรองรับแผนขยายลงทุน
นางสาววีรยา ศรีวัฒนะ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ของ SAF จะช่วยเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจและเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุน รองรับแผนการขยายธุรกิจตามเป้าหมายที่บริษัทฯ ได้วางไว้
ประกอบด้วย 2 โครงการสำคัญ ได้แก่ การลงทุนโรงงานและคลังสินค้าแห่งใหม่ (SAF3) เพื่อเพิ่มปริมาณการจัดเก็บวัตถุดิบเป็น 4,000 ตัน และการลงทุนระบบเตาชุบแบบไนไตรดิ้ง เพื่อให้บริการชุบแก่ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมได้อย่างครบวงจร
โดยมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยจุดเด่นของ SAF ที่เป็นผู้นำในธุรกิจเหล็กกล้าเกรดพิเศษ มีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องไปพร้อมกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ตลอดจนคณะผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์และมากด้วยประสบการณ์ จะทำให้หุ้น SAF เป็นอีกหนึ่งหุ้นคุณภาพสำหรับนักลงทุนในตลาดทุนไทย
ยักษ์ลงทุน
Post Views: 210