นางสาวสุวรรณี สุวรรณแสงโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ตาชำนิ จำกัด (มหาชน) หรือ CEYE เปิดเผยว่า สำหรับปี 2566 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุหลักมาจากธุรกิจเดิมที่ได้รับปัจจัยบวกรับกิจกรรมเศรษฐกิจและภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณาฟื้นตัวหลังยุคโควิด รวมทั้ง การเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ประกอบกับอุตสาหกรรมบริการดิจิทัลเฟื่องฟู สนับสนุน CEYE ผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ รองรับความต้องการลูกค้าซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำในทุกอุตสาหกรรมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
ประกอบกับ การเข้าไปต่อยอดธุรกิจต้นน้ำและปลายน้ำของอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนเป้าหมาย มุ่งสู่ Total Creative Marketing & Production Solutions ที่สมบูรณ์ หลังเซ็นสัญญาลงนามร่วมกับ บริษัท ซีอาล๊อต บูทีค โพสท์โปรดักชั่น จำกัด (ZEALOTS) ผู้ดำเนินธุรกิจ Post-Production ภาพเคลื่อนไหว และ บริษัท เออเบิร์น มีเดีย ครีเอชั่น จำกัด (UMC) ธุรกิจตัวแทนโฆษณา (Advertising Agency) พร้อมเดินหน้าขยายโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน และทำให้สามารถรับรู้รายได้ของทั้ง 2 บริษัทเข้ามาในงบของ CEYE ตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 นี้เป็นต้นไป
ส่วนผลการดำเนินงานงวดปี 2565 (สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2565) ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 365.71 ล้านบาท จากปี 2564 มีรายได้ 272.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จำนวน 92.97 ล้านบาท หรือ 34.09% และมีกำไรสุทธิ 52.02 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 14.35% เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 23.57 ล้านบาท หรือ 82.87%
สำหรับรายได้ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในไตรมาส 1/2565 และไตรมาส 4/2565 ส่วนหนึ่งเกิดจากลูกค้าในอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภค โอเปอเรเตอร์ค่ายต่างๆ ที่ให้บริการในประเทศไทย บริการโอทีที (บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต) อุตสาหกรรมยานยนต์ และ บริษัทอีคอมเมิร์ซ กลับมาดำเนินกิจกรรมด้านการขายและการตลาด
ประกอบกับการผ่อนปรนและการปรับตัวของกลุ่มบริษัทในมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้เข้ากับฐานวิถีชีวิตใหม่ (New normal) มากขึ้น รวมถึงอุปสงค์ของอุตสาหกรรมและความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยกลุ่มธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ การบริหารสื่อออนไลน์ (Social media management) และสื่อออนไลน์ (Online media) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
สำหรับสัดส่วนรายได้ปี 2565 มาจากรายได้จากการให้บริการผลิตภาพนิ่ง สัดส่วน 53.22% รายได้จากการให้บริการผลิตภาพเคลื่อนไหว 24.01% รายได้จากการให้บริการตกแต่งภาพด้วยคอมพิวเตอร์ 10.08% รายได้จากการให้บริการเช่าสตูดิโอ 2.54% และรายได้อื่นๆ ประกอบด้วย รายได้จากการบริหารสื่อออนไลน์ 6.70% และ รายได้จากธุรกิจสื่อออนไลน์ 1.68%
“แนวโน้มงานที่กลับมาในปี 2565 เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่บริษัทฯ มีกำลังการผลิตที่พร้อมสนับสนุนลูกค้าได้อย่างครบวงจรยิ่งขึ้น และแนวโน้มการขยายตัวของกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นปัจจัยสนับสนุนผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ซึ่งในปี 2565 บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้น 30.07% และอัตรากำไรสุทธิ 14.22% จากปี 2564 อยู่ที่ 22.9% และ 10.43% ตามลำดับ” นางสาวสุวรรณี กล่าว
อย่างไรก็ดี ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท โดยกำหนด XD วันที่ 28 เมษายน และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 ทั้งนี้ ได้กำหนดจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 เมษายน 2566
Post Views: 267