SMPC เผยยอดขายเริ่มฟื้นตัวกลับมาปกติ ตั้งแต่ Q2/66 เป็นต้นไป เชื่อทั้งปี 66 โต 20% ตามแผน ตลาดต่างประเทศออเดอร์กลับมาแล้ว
SMPC เผยยอดขายทยอยฟื้นตัวกลับมาปกติตั้งแต่ไตรมาส 2/66 เป็นต้นไป ออเดอร์ตลาดต่างประเทศเริ่มกลับมา มั่นใจรายได้โตตามแผน ลุยขายถังแก๊ส 7.5 ล้านใบ พร้อมวางกลยุทธ์ในการขาย เน้นการเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์ถังทนความดันต่ำประเภทอื่นๆ เพิ่มมาร์จิ้น เจาะตลาดในภูมิภาคที่หลากหลายเพิ่มขึ้น เผยผลงานโค้งแรกถือว่าผ่านจุดต่ำสุดของปีนี้ไปแล้ว
นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC ประกอบธุรกิจผลิตถังทนความดันแบบต่างๆ โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็นถังสำหรับบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม และสำหรับใช้เป็นแหล่งพลังงานรถยนต์ โดยจำหน่ายภายในและต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “SMPC”
รวมทั้งรับจ้างผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าต่างๆ เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 2/66 ยอดขายเริ่มฟื้นกลับมาเป็นปกติ ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/66 เป็นต้นไป และจะดีต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 3 – ไตรมาส 4 ปีนี้ ปัจจุบันคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศกลับเข้ามามากขึ้น
“งบ Q1 ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติของบริษัท แต่ไม่ใช่ภาพรวมทั้งปี แม้ยอดขาย มาร์จิ้น ลดลง แต่ฐานะการเงินของบริษัทยังมั่นคง สถานการณ์ตอนนี้ เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เทรนด์เริ่มดีขึ้นแม้จะมีวันหยุดเยอะ โดยเดือนพ.ค. – มิ.ย. เป็นช่วงขาขึ้นลูกค้าเริ่มกลับมา
ปัจจุบันบริษัทมี Backlog ที่มีออเดอร์คำสั่งซื้อแน่นอนแล้วกว่า 1,780 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมงานประมูลแถบตะวันออกกลางอีกกว่าแสนใบ และล่าสุดเราได้งานประมูลในแถบอเมริกาเหนือมาอีก 1.2 ล้านใบ ซึ่งจะเริ่มส่งมอบช่วงปลายปีนี้” นายสุรศักดิ์ กล่าว
โดยแผนธุรกิจในปี 66 บริษัทตั้งเป้าปริมาณขายถังแก๊สเติบโตราว 20% จากปีที่ผ่านมา โดยมีปริมาณขายถังแก๊สจำนวน 7.5 ล้านใบ และคิดเป็น 75% ของกำลังการผลิตทั้งหมด เชื่อว่าจากสภาพภาวะเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจะสนับสนุนให้ผลประกอบการดีขึ้น
โดยการเติบโตจะมาจากทั้งถังขนาดใหญ่และถังขนาดเล็ก พร้อมขยายกำลังผลิตในส่วนของถังขนาดใหญ่และถังประเภทอื่นเพิ่มขึ้น ซึ่งยังมีความต้องการในตลาดอยู่อีกมาก และยังมีแผนบุกตลาดถังไฮแวลูเพิ่มขึ้นที่มีสัดส่วนแบ่งตลาดไม่มากนัก จะส่งผลให้อัตรากำไรของบริษัทดีขึ้น
ด้านงบลงทุนในปีนี้ บริษัทได้วางงบประมาณไว้ที่ราว 100 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนติดตั้งโรบอทเพิ่มเติม รวมถึงปรับปรุงเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังจากที่เราเคยประสบปัญหาแรงงานขาดแคลนในช่วงก่อนหน้านี้ รวมทั้งเพื่อช่วยให้ภาพรวมของธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต และยอดขายจะเริ่มฟื้นกลับมาเป็นปกติ ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/66 เป็นต้นไป
ปัจจุบันสถานการณ์ราคาเหล็กและค่าระวางเรือเริ่มทรงตัวสู่ภาวะปกติ เชื่อว่าจะหนุนให้ตลาดต่างประเทศ ลูกค้ากลับเข้ามาสั่งซื้อมากขึ้น โดยตลาดเอเชีย เช่น ศรีลังกา ปัจจุบันบริษัทได้ผ่านการประมูลงานในประเทศศรีลังกาแล้ว และจะเริ่มทยอยส่งงานในระยะถัดไป ขณะที่ตลาดบังคลาเทศเริ่มมีการติดต่อเข้ามาเช่นกัน
ผลประกอบการของบริษัทฯ งวดไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มียอดขายรวมอยู่ที่ 816.03 ล้านบาท โดยยอดขายลดลง 718.36 ล้านบาท หรือ 46.8% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 1,534.39 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 47.99 ล้านบาท ลดลง 241.56 ล้านบาท หรือลดลง 83.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 289.55 ล้านบาท
สาเหตุที่ยอดขายและกำไรลดลง เนื่องจากปริมาณขายที่ลดลง จากภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวมที่หดตัวส่งผลกระทบไปทั่วภูมิภาค เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง การแข่งขันด้านราคาสูง ทำให้ลูกค้าชะลอการสั่งซื้อ นอกจากนี้ต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ทำให้มีการปรับราคาขายลดลงให้สอดคล้องกับราคาวัตถุดิบ
“ถึงแม้ว่าภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ดีขึ้นมากนัก แต่บริษัทได้เร่งปรับนโยบายและกลยุทธ์ในการขาย โดยเน้นการเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์ถังทนความดันต่ำประเภทอื่นๆเพิ่มเติม นอกจากถังแก๊สสำหรับใช้ตามครัวเรือนที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มอัตราการทำกำไร นอกจากนี้ยังเร่งเข้าไปทำการตลาดในภูมิภาคที่หลากหลายเพิ่มขึ้น ทำให้ปัจจุบันคำสั่งซื้อเริ่มกลับเข้ามาปกติ” นายสุรศักดิ์ กล่าว