“ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์” มองตลาดโลกครึ่งปีหลัง แนะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ เน้นลงทุนหุ้นกลุ่ม Defensive และ Quality growth
“บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด” (ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์) จัดงานสัมมนาเอ็กซ์คลูซีฟ “มุมมองเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลังปี 2565” (Market Outlook Mid-Year 2023) สำหรับลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (Ultra High Net Worth Individuals – UHNWIs)
นำเสนอปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง ที่จัดทำโดยจูเลียส แบร์ โดยให้มุมมองว่า อัตราเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงไปต่อเนื่องจนถึงปี 2567 ด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ
คาดว่าจะมีการชะลอตัวลงมากกว่าประเทศอื่นๆ ขณะที่เศรษฐกิจจีนเริ่มกลับมาเติบโตภายหลังการเปิดประเทศ ด้านเศรษฐกิจยุโรปมีโอกาสฟื้นตัวเนื่องจากได้อานิสงส์จากอุปสงค์จากจีน
การลงทุนแนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพและล็อคอัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับที่สูงในตราสารหนี้คุณภาพดี การลงทุนในตลาดหุ้นแนะนำให้น้ำหนักกับกลุ่ม Defensive และยังคงให้ความสำคัญกับกลุ่ม Quality growth สำหรับธีม Next Generation
ยังคงมุมมองเชิงบวกในกลุ่มผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ ที่มีฐานหรือแหล่งข้อมูลของตัวเอง สายการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานระบบประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลคลาวด์
นางสาวลลิตภัทร ธรณวิกรัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวว่า “จากมุมมองเศรษฐกิจโลกครึ่งปี 2566 ที่จัดทำขึ้นโดยจูเลียส แบร์ พบว่า ปี 2566 นั้นยังคงเป็น “The Year of Cool-Down”
ตามที่เคยให้มุมมองไว้ในตอนต้นปี แม้ตัวเลขเงินเฟ้อนั้นอาจจะยังลดลงน้อยกว่าที่คาดจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีแรงส่งหรือขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ยังคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงไปจนถึงปี 2567
ถึงแม้ว่าการคาดการณ์นี้อาจจะยังไกลแต่สิ่งที่ยังคงเห็นในอนาคตอันใกล้นี้ เรายังเห็นความแตกต่างหรือ Divergence ของเศรษฐกิจโลกนั้นยังคงอยู่ กล่าวคือเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นคาดว่าจะมีการชะลอตัวลงมากกว่าประเทศอื่นๆ
หลังจากที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจจีนเริ่มกลับมาเติบโตภายหลังการเปิดประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปมีโอกาสฟื้นตัวเนื่องจากได้อานิสงส์จากอุปสงค์จากจีน
กล่าวโดยสรุป การบริโภคที่มีสัดส่วน 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ความยืดหยุ่นหรือ Resilient ของผู้บริโภคประกอบกับความแข็งแรงของฐานะทางการเงินของภาคเอกชนและตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่งทั้งหมดนี้จะช่วยพยุงให้เศรษฐกิจแค่ชะลอตัวลงแบบอ่อนๆ (mildly) ไม่หดตัวแรง”
มร.คีน ตัน หัวหน้าฝ่ายแนะนำการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวว่า “ด้านการลงทุน แนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพและล็อคอัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับที่สูงในตราสารหนี้คุณภาพดี
ลดคำแนะนำการลงทุนในกลุ่มตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูงหรือ High yield bond ลงทั้งในสหรัฐฯและยุโรปจากความกังวลจากการคาดาอัตราการผิดนัดชำระหนี้จะเพิ่มขึ้น และเพิ่มการลงทุนในตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่
ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นแนะนำให้น้ำหนักกับกลุ่ม Defensive หรือกลุ่มที่มีความปลอดภัย และยังคงให้ความสำคัญกับกลุ่ม Quality growth หรือกลุ่มที่มีการเติบโตอย่างมีคุณภาพ
โดยได้ปรับมุมมองการลงทุนให้น้ำหนักเพิ่มในกลุ่มสื่อสาร ด้านการลงทุนในตลาดเอเชีย พบว่าประเทศจีนโมเมนตั้มทางเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวทำให้เราได้เห็นการเริ่มกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้งแต่อาจจะยังไม่เพียงพอทำให้คำแนะนำการลงทุนยังเป็นกลาง (Neutral) เราแนะนำหุ้นรัฐวิสาหกิจจีน (SOE) ที่จะมีการปฏิรูปโครงสร้าง (Reform) เพื่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น”
“ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะอ่อนค่าลงเมื่อหยุดการขึ้นดอกเบี้ย โดยค่าเงินสวิสฟรังค์ CHF มีโอกาสแข็งค่าเนื่องจากความเป็น Safe Haven ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ค่าเงินเยน JPY มีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นในช่วงข้างหน้า สำหรับธีม Next Generation เราเชื่อว่ากระแสการแข่งขันพัฒนาด้าน Artificial Intelligence (AI)
ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เรายังคงมุมมองเชิงบวกในกลุ่มผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ (Software) ที่มีฐานหรือแหล่งข้อมูลของตัวเอง, สายการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานระบบประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลคลาวด์ (Cloud Infrastructure Providers)
แม้ว่าหุ้นกลุ่ม AI เหล่านี้จะมีการปรับตัวขึ้นอย่างมากแต่ระดับมูลค่าในอดีตนั้นมีระดับที่ต่ำกว่าแนวโน้มแต่ยังคงมีคุณลักษณะที่น่าสนใจซึ่งจะยังช่วยให้มีโอกาสเติบโตได้” มร.คีน ตัน กล่าวเสริม