บลจ.เอ็มเอฟซี มองบวก “บิทคอยน์” ยังมีโอกาสในการเติบโตและสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนได้ เผยไม่ยอมตกขบวน เตรียมเข้าแถวรอจัดตั้ง กองทุนรวมบิทคอยน์ ETF เน้นขายให้ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra Accredited Investor) ที่มีคุณสมบัติตรงตามที่ ก.ล.ต.กำหนดไว้เท่านั้น
นายเชาวน์กร โชติบัณฑ์ Head of Investment Strategy บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) (“บลจ.เอ็มเอฟซี”) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน “บิทคอยน์” เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นในวงกว้าง และโดยเฉพาะในไทย ภายหลังจากที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีมติเห็นชอบการปรับหลักเกณฑ์ใหม่เพิ่มเติม ให้ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษสามารถเข้าลงทุนกองทุน Spot Bitcoin ETF ผ่าน บลจ. ได้นั้น
บลจ.เอ็มเอฟซี ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้นำในตลาดการลงทุน ที่มีมุมมองเชิงบวกต่อบิทคอยน์ โดยเชื่อว่ายังมีโอกาสในการเติบโตที่ดีได้ไม่ต่างจากสินทรัพย์ประเภทอื่น จึงมองเป็นจังหวะดีที่จะได้เสิร์ฟการลงทุนในบิทคอยน์ให้เป็นทางเลือกหนึ่งแก่ผู้ลงทุนที่มีความเข้าใจในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลและสามารถรับความเสี่ยงได้สูง
บริษัทจึงได้ยื่นขอจัดตั้ง กองทุนรวมบิทคอยน์ ETF ต่อ ก.ล.ต. โดยกองทุนดังกล่าวมีมูลค่าโครงการราว 2,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการเข้าลงทุนในบิทคอยน์ 100% ผ่านกองทุน Bitcoin ETF ในต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว
และจะเปิดขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra Accredited Investor) ที่มีคุณสมบัติตรงตามที่ ก.ล.ต.กำหนดไว้เท่านั้น เนื่องจากการลงทุนทางเลือกในสินทรัพย์ดิจิทัลนี้มีรายละเอียดที่ซับซ้อน อีกทั้งเป็นการลงทุนที่กระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์ประเภทเดียว จึงทำให้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ระดับ 8+ จึงไม่เหมาะสมที่จะเปิดขายให้กับกลุ่มผู้ลงทุนทั่วไป
“เรามองว่าบิทคอยน์ยังมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้ เพราะมีแนวโน้มในการเติบโตต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเปลี่ยนแปลงที่มีความผันผวนด้วยเช่นกัน จึงมองกองทุนรวมบิทคอยน์ ETF นี้ เหมาะกับผู้ลงทุนที่มีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้สูง และควรถือลงทุนในระยะ 2-3 ปีขึ้นไป ซึ่ง บลจ.เอ็มเอฟซี จะมีทีมดูแลผู้ลงทุนคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด” นายเชาวน์กรกล่าว