FUND

บลจ.เอ็กซ์สปริง โชว์ผลงาน 6 เดือนแรก AUM พุ่ง 22.7% ครึ่งปีหลังลุยลงทุนหุ้นต่างประเทศ

บลจ.เอ็กซ์สปริง โชว์ผลงาน เดือนแรก AUM พุ่ง 22.7% ครึ่งปีหลังเปิดกลยุทธ์ลงทุนหุ้นต่างประเทศ – สินทรัพย์นอกตลาดหนุนผลงานโตต่อเนื่อง

XSpring AM 6 เดือนแรก AUM โต 22.7% เผยกลยุทธ์เด็ดด้วยการสร้างโปรดักต์ที่แตกต่าง เฟ้นหาสินทรัพย์นอกตลาดให้ผลตอบแทนสูงในช่วงตลาดหุ้นซบเซา เช่น  XSpring AM Private Real Estate Fund เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ สร้างโอกาสรับผลตอบแทนถึง 10%

ครึ่งปีหลังเชื่อมั่นเติบโตต่อเนื่อง พร้อมมองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงในตลาดต่างประเทศ ประเมินสหรัฐฯ เริ่มน่าสนใจจากนโยบายย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ ขณะที่ยุโรปเริ่มมีปัจจัยบวกจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

มองตลาดหุ้นไทยแม้ EPS ปรับลดลงแต่ภาพรวมเริ่มนิ่ง ประเมินดัชนีในกรอบแนวรับที่ 1,200 – 1,250 จุด และแนวต้านทางเทคนิคที่ 1,430 – 1,470 จุด แนะนำหุ้นกลุ่ม  Defensive ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มบริการสุขภาพ เช่น โรงพยาบาลขนาดใหญ่ ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ XSpring AM เปิดเผยว่าในครึ่งแรกของปี 2567 ที่ผ่านมาแม้จะเป็นช่วงที่ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยสดใสแต่ XSpring AM สามารถสร้างผลงานได้เป็นที่น่าพอใจ

โดยสามารถเพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ให้เติบโตขึ้นจาก  6,928  ล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2566 เป็น 8,501 ล้านบาทในวันที่ 30 มิ.ย. 2567 คิดเป็นอัตราการเติบโต 22.70% โดยปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตในครั้งนี้มาจากการสร้างความแตกต่างในบริการของ XSpring AM ที่เน้นกลยุทธ์ในการใช้Ecosystem ของกลุ่ม XSpring ที่มีบริการทางการเงินอย่างครบวงจรเข้ามาต่อยอดความต้องการทางการเงินและการลงทุนของลูกค้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ด้วยการยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เช่น การส่งต่อลูกค้าจากบริษัทแม่กระจายมายังสินค้าและบริการของบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่มเพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าแบบ 360 องศา และมั่นใจว่าการผนึกกำลังของกลุ่ม XSpring จะทำให้ผลงานครึ่งปีหลังเติบโตต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ XSpring AM เมื่อได้รับการส่งต่อลูกค้ามาแล้วก็มีกลยุทธ์เพื่อตอบสนองให้ลูกค้าอย่างแตกต่าง โดยเฉพาะในครึ่งปีที่ผ่านมา เราได้เปิดกองทุนที่มุ่งเน้นลงทุนทั้งสินทรัพย์ในตลาดทุนและนอกตลาด เช่น กองทุน XSpring AM Private Real Estate Fund

ที่เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ สามารถสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น และเป็นทางเลือกที่นักลงทุนสนใจท่ามกลางผลตอบแทนในตลาดทุนที่ยังไม่สดใส และถือเป็นการเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนสามารถลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้ง่ายขึ้น โดยส่วนหนึ่งที่กองทุนประเภทนี้ได้รับความสนใจ เนื่องจากมีโอกาสสร้างผลตอบแทนการลงทุนในโครงการไม่ต่ำกว่า 10%

ทั้งนี้นอกจากสินทรัพย์นอกตลาดที่จะนำมาขับเคลื่อนกลยุทธ์ของ XSpring AM แล้ว ในครึ่งปีหลัง สินทรัพย์ต่างประเทศก็จะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะนำมาผสมผสานในการสร้างผลิต ภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้ลูกค้า โดยคาดว่าแนวโน้มและทิศทางการลงทุนในต่างประเทศยังคงสดใสมากกว่าไทย

แม้ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจจะถดถอยในเขตเศรษฐกิจสำคัญจะเพิ่มขึ้น แต่ต่างประเทศมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ดีกว่า รวมไปถึงการเปิดรับนวัตกรรม และการจัดการทางการค้าที่ลดทอนความเสี่ยงลงจากการทุ่มตลาด ทำให้โอกาสในการลงทุนยังมีมากกว่า

สำหรับสินทรัพย์ที่ XSpring AM แนะนำให้ลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้จะยังคงเน้นไปที่การลงทุนแถบสหรัฐอเมริกาและยุโรป อย่างไรก็ดีเนื่องจากคาดการณ์ผลประกอบการของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีเริ่มปรับตัวลดลง จึงแนะนำให้เข้าลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ (Defensive) หรือกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ (Reshoring)

เนื่องจากถือเป็นนโยบายที่เห็นตรงกันของทั้งพรรคเดโมแครต และพรรคริพลับลิกัน (Bipar tisan) ส่วนภูมิภาคยุโรปที่เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว มองว่าเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจเนื่อง จากทำให้ต้นทุนทางการเงินบางส่วนในยุโรปลดลง เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะในหมู่ประเทศตอนใต้ของยุโรป เช่น อิตาลี สเปน เป็นต้น

ด้านตลาดหุ้นไทยมองว่าแม้แนวโน้มการปรับประมาณการกำไรต่อหุ้นของไทย (EPS: Ear ning Per Share) ในภาพรวมจะยังคงลดลง แต่ถือว่าเริ่มนิ่งขึ้น แม้ว่าสภาพบรรยากาศโดยรวมยังมีความกดดันจากบรรยากาศทางการเมืองที่ไม่ชัดเจน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินคดีความทางการเมืองที่เกี่ยวเนื่องกับนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันในวันที่ 14 ส.ค. 2567 ประกอบกับเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอ และเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นอีกครั้งจากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน

โดยคาดว่า GDP ของไทยทั้งปีนี้จะอยู่ที่ 2.00% จึงแนะนำให้เลือกลงทุนเป็นรายอุตสาห กรรม เช่น กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ(ICT) หรือกลุ่มบริการสุขภาพ (Health care) ที่กำไรในหมวดอุตสาหกรรมยังคงปรับตัวขึ้น ในภาพรวมประเมินว่าดัชนีจะสามารถยืนอยู่แนวรับระยะสั้นที่ 1,280 จุด ได้ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1,200 – 1,250 จุด และแนวต้านทางเทคนิคที่ 1,430 – 1,470 จุด

ใส่ความเห็น