บล.เอเซีย พลัส ออกบทวิเคราะห์กลยุทธ์ลงทุน ระบุว่า ในเดือน ก.ย. SET Index เข้าสู่โหมดแจ่มใสโดยความเสี่ยงต่างๆ เริ่มอยู่ ในกรอบจำกัดพร้อมกับเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของ Fundamental และ Fund Flow ที่ชัดเจนดังนี้
ความเสี่ยงในกรอบจำกัด เริ่มจากความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามรัสเซีย-ยูเครน คาดตลาดการเงินดูดซับพัฒนาการของเหตุการณ์ไว้ในราคาแล้วเป็นส่วนใหญ่ และสถานการณ์ช่องแคบไต้หวันตามความเห็นของนักวิชาการยังมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า พัฒนาการไม่น่านำไปสู่กรณีที่จีนใช้กำลังเข้าไปยึดครองไต้หวัน ส่วนแรงกดดันจากนโยบายการเงินตึงตัวจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ตลาดคาดจะอยู่ระดับ 4% ช่วงปลายปี แต่ประเด็นนี้กำลังผ่านจุดสูงสุด และน่าจะคลายตัวลงทั้งจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลักปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ยุโรป หรือจีนนำไปสู่การใช้นโยบายการเงินตึงตัวลดลง อีกประเด็นคือ ติดตามความคืบหน้าประเด็น QT อาจกดดันให้ตลาดผันผวนได้ในบางช่วงเวลา
สัญญาณการฟื้นตัวของ Fundamental และ Fund Flow ที่ชัดเจน เริ่มจากภาพเศรษฐกิจไทยเห็นสัญญาณการฟื้นตัวต่อในช่วง 2H65 คาดไม่ต่ำกว่า 3.6%YoY ภายใต้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตสูงกว่า 3% ตามที่หลายฝ่ายได้ตั้งเป้าหมายไว้หลักๆ มาจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ซึ่งจะเป็นตัวสร้างกิจกรรมเศรษฐกิจให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เฉพาะอย่างยิ่งในภาคท่องเที่ยวและบริการสวนทางกับเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่บางประเทศเข้าสู่ภาวะ Recession บางประเทศ GDP Growth รายไตรมาสเริ่มติดลบ และบางประเทศส่งสัญญาณการชะลอตัวชัดเจน จากสภาวะตลาดหุ้นไทยดูมีเสน่ห์มากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หนุนให้ฝ่ายวิจัยปรับระดับ Market Earning Yield Gap ที่ใช้กำหนดเป้าหมายดัชนีจาก 4.4% มาเป็น 4.2% (ค่าเฉลี่ยในอดีต) หรือปรับเพิ่มระดับ P/E ตลาดเป็น 18 เท่า (ภายใต้ดอกเบี้ยปลายปีที่ 1.25%)
ถัดมาคือ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนงวด 2Q65 ที่สร้างจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับราว 3.5 แสนล้านบาท นำไปสู่การปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้นเป็น 1.17 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น EPS65F ที่ 96.1 บาท/หุ้น (เติบโตจากปีก่อน 11.7%) ซึ่งทั้ง 2 ส่วนหนุนให้ Target SET Index ณ สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 1730 จุด
ภาวะที่กล่าวมาทั้งหมด เชื่อว่าน่าจะขับเคลื่อนให้ Fund Flow ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยต่อ อีกทั้งปัจจุบันสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยทางตรงจากต่างชาติยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติไม่ถึง 22% มีช่องว่างให้ไหลเข้ามาได้อีก หรือยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 26.2% อีกทั้งในอดีต 9 ปีที่แล้ว ต่างชาติยังเคยถือครองสูงถึง 30.2%
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือนก.ย. 65 แนะนำทยอยสะสม 7 หุ้น กำไรไฉไลในช่วง 2H65 คาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด คือ TIDLOR, M, HMPRO, CK, CKP, PLANB, SCB