ส่อง 2 ผลงาน SMEs แชมป์นวัตกรรม “7 Innovation Awards 2022” EDEN สารเคลือบยืดอายุสินค้าเกษตร-ธาอีส ผลิตภัณฑ์หนังรีไซเคิลจากเศษหนังเหลือทิ้ง
ปิดฉากลงอย่างยิ่งใหญ่กับงาน Thailand Synergy เพื่อ SMEs ไทย ประจำปี 2022 เวทีด้านนวัตกรรมระดับประเทศที่ให้การสนับสนุน ส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs บริษัทสตาร์ทอัพหน้าใหม่ ที่เปี่ยมด้วยศักยภาพด้านนวัตกรรม ผ่านการมอบรางวัลสุดยอดนวัตกรรม “7 Innovation Awards 2022” (เซเว่น อินโนเวชั่น อวอร์ดส์) จำนวน 38 ผลงาน
จาก 180 ผลงานที่ส่งเข้าประกวด แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ รางวัลนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ จำนวน 18 ผลงาน และรางวัลนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม จำนวน 20 ผลงาน
EDEN คว้ารางวัลชนะเลิศประเภทเศรษฐกิจ
สำหรับผลงานโดดเด่นที่คว้ารางวัลชนะเลิศประเภทเศรษฐกิจไปครอง ได้แก่ ผลงาน “EDEN” นวัตกรรมสารเคลือบยืดอายุผักและผลไม้จากธรรมชาติ โดย บริษัท อีเด็น อะกริเท็ค จำกัด และผลงานรางวัลชนะเลิศประเภทสังคม ได้แก่
“ธาอีส” แบรนด์ผลิตภัณฑ์หนังรีไซเคิลจากเศษหนังวัวเหลือทิ้ง โดย บริษัท ธาอีส อีโคเลทเธอร์ จำกัด โดยเจ้าของผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศทั้ง 2ประเภทได้เปิดใจถึงความรู้สึกและบอกเล่าความเป็นนวัตกรรมของผลงาน พร้อมทิศทางการเติบโตในอนาคต
EDEN : ช่วยยืดอายุการเก็บรักษา 3–4 เท่า ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
“ประเทศไทย เป็นประเทศที่ผลิตสินค้าเกษตรได้มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก แต่ปริมาณการส่งออกกลับไม่สูงอย่างที่คิด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อจำกัดในเรื่องระยะเวลาการขนส่ง สินค้าเกษตรบางชนิดมีอายุการจัดเก็บสั้น ทำให้เกิดการสูญเสียระหว่างทาง
หากแก้ช่องว่างในส่วนนี้ได้สินค้าเกษตรไทยจะส่งออกไปขายยังต่างประเทศได้มากขึ้น ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้อย่างมาก” คำบอกเล่าถึงที่มาของผลิตภัณฑ์ จาก นรภัทร เผ่านิ่มมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีเด็น อะกริเท็ค จำกัด
ทั้งนี้ EDEN เป็นสารเคลือบยืดอายุผักและผลไม้จากธรรมชาติ ที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษา ผักและผลไม้สดจากอายุเดิม ได้นานถึง 3 –4 เท่า เพียงพ่นหรือจุ่มสารเคลือบซึ่งประกอบด้วยแคลเซียม เซลลูโลส และสารสกัดจากผลไม้ ที่จะฟอร์มตัวเป็นชั้นฟิล์มระดับนาโนเพื่อปกป้องผิวผักและผลไม้
ช่วยชะลอการสูญเสียน้ำและการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ใช้ได้ทั้งบนเปลือกและเนื้อ ผักผลไม้ตัดแต่ง ให้คงความสดไว้ได้โดยไม่กระทบต่อรสสัมผัส ทั้งยังคงคุณค่าสารอาหารและได้รับมาตรฐานอาหารจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
สำหรับแผนธุรกิจในช่วง 3–5 ปี นรภัทร เปิดเผยว่า จะมุ่งพัฒนาใน 3 เรื่องหลักๆ ได้แก่ 1.พัฒนาให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น นำระบบอัตโนมัติมาใช้ ลดการพึ่งพาแรงงานที่อาจมีการปรับเปลี่ยนโยกย้าย พร้อมกับปรับแพ็กเก็จจิ้งให้มีขนาดเหมาะแก่การใช้งาน
2.ขยายกลุ่มลูกค้า สู่ตลาดต่างประเทศ เบื้องต้นมุ่งในกลุ่มประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เช่น เมียนมา เวียดนาม มาเลเซีย
3.ขยายการใช้งานสู่กลุ่มเนื้อสัตว์
ธาอีส : ลดทิ้งเศษหนัง 70 ตันต่อปี ลดมลภาวะ สร้างรายได้สู่ชุมชน
ด้าน ธันยวัฒน์ ทั่งตระกูล ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ธาอีส อีโคเลทเธอร์ จำกัด เล่าถึงที่มาของผลงานว่า ตนมีงานอดิเรกคือการทำเครื่องหนัง ทำให้มีเศษหนังเหลือทิ้งที่ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ประกอบกับเมื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเศษหนังเหลือทิ้ง
พบว่า ในแต่ละปีจะมีเศษหนังเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมสูงถึง 10,000 ตันต่อปี ถ้ากำจัดด้วยวิธีการเผาก็จะทำให้เกิดสารคาร์ซิโนเจน (Carcinogen) และสารไดออกซิน (Dioxins) ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง หรือเมื่อนำไปฝังกลบก็จะก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
จากจุดนี้เองจึงได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมว่าจะแปรรูปเศษหนังเหลือทิ้งเหล่านี้อย่างไร จนได้มาเป็นระบบรีไซเคิลแบบกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งเป็นกระบวนการ Green Technology ที่ใช้พลังงานน้อยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญไม่ก่อให้เกิดขยะใหม่สู่สังคม
อีกทั้งยังได้วัสดุแผ่นหนังผืนใหม่ที่มีสีสันและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ เหมาะสำหรับนำมาใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง เช่น กระเป๋า และวัสดุสำหรับงานออกแบบตกแต่งภายใน เช่น ที่ใส่ปากกา โดยในแต่ละปีบริษัทรับซื้อเศษหนังจากโรงงานรวม 70 ตันต่อปี และก่อให้เกิดการจ้างงานฝีมือขึ้นรูปผลิตภัณฑ์และเพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชนมากกว่า 70 ครัวเรือน
ปัจจุบันแผ่นหนังที่ผลิตได้จะถูกแปรรูปเป็นของใช้และของตกแต่งบ้าน อนาคตจะขยายสู่สินค้าประเภทวัสดุปิดผิว พร้อมขยายตลาดสู่ต่างประเทศ จากการบอกเล่าถึงที่มาของผลงาน จากทั้ง 2 ผู้ประกอบการทำให้เห็นว่า ความใส่ใจและการมองเห็นช่องว่างในการพัฒนา ก็สามารถนำมาสู่ “นวัตกรรม” ที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างยั่งยืน
และหากได้รับการสนับ สนุนและส่งเสริมอย่างจริงจัง การที่ประเทศไทยจะก้าวสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วได้อย่างสมบูรณ์ โดยมี นวัตกรรม เป็นฐานรากในการขับเคลื่อนจึงไม่ใช่เรื่องยาก
สำหรับงาน “Thailand Synergy เพื่อ SMEs ไทย” และการประกาศผลรางวัล “สุดยอดนวัตกรรม 7 Innovation Awards” เป็นความร่วมมือของ 11 องค์กรเครือข่ายนวัตกรรมภาครัฐ-เอกชนระดับประเทศ
ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.), สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.),
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สนช.), สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.), ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.)
สมาคมหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย (Thai–BISPA), หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สมาคมธนาคารไทย และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
ทั้งนี้ เพื่อเฟ้นหาสินค้านวัตกรรมจาก SMEs และบริษัทสตาร์ทอัพไทยที่มีศักยภาพ ในการพัฒนาและต่อยอดให้เป็นนวัตกรรมสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคจนได้รับการยอมรับในระดับประเทศหรือในระดับโลก
อีกทั้งเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้ทดสอบศักยภาพของตนเองในการยกระดับขีดความสามารถด้านนวัตกรรมในระดับประเทศ ผู้สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ http://www.7innovationawards.com
Post Views: 303