“การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” ถือเป็นประโยคคลาสิกที่หลายคนคุ้นเคย เพราะโรคภัยไข้เจ็บ รวมถึงโรคร้ายแรง มักจะแฝงมาในทุกสถานการณ์ และเรื่องการทำประกันชีวิตก็ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันนี้ที่เราต้องใส่ใจสุขภาพและต้องคุ้มครองความเสี่ยงของตนเองมากยิ่งขึ้น
คุณกรณ์ ชินสวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แรบบิท ประกันชีวิต “แรบบิทไลฟ์” กล่าวว่า แม้เราเป็นบริษัทประกันชีวิตแบรนด์น้องใหม่ภายใต้กลุ่มธุรกิจในเครือของบีทีเอส กรุ๊ป แต่ก็เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจนี้มากว่า 25 ปีแล้ว และมีทีมงานบริหาร ที่มีความเชี่ยวชาญและความเข้าใจในตลาดนี้เป็นอย่างดี
โดยเมื่อปลายปี 2564 เครือบีทีเอส กรุ๊ป ผ่านบริษัทย่อย บมจ.ยู ซิตี้ (U) ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท 75% วงเงินลงทุนราว 1,500 ล้านบาท หลังจากนั้นก็รีแบรนด์สำเร็จเป็น แรบบิทไลฟ์ ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ความตั้งใจของ แรบบิทไลฟ์ ต้องการเป็นบริษัทประกันชีวิต ตามคอนเซ็ปต์ใหม่ “คิดแตกต่าง เพื่อยกระดับชีวิต ด้วยประกันชีวิตที่ตอบโจทย์ และเข้าใจง่าย” โดยคุณกรณ์ กล่าวว่า “เราอยากทำให้ประกันไม่น่ากลัว ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่ายขึ้น และเราฟังลูกค้า ให้ลูกค้าเป็นตัวกลาง เพื่อที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่ง่าย และบริการที่สะดวกสำหรับลูกค้า”
ตลาดประกันในไทยยังโตได้อีก
หากลองย้อนดูตลาดประกันชีวิตช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ก่อนโควิดระบาดจะเห็นว่าตลาดประกันชีวิตโตดีมาก มูลค่าเบี้ยประกันโตจากราว 300,000 ล้านบาท เป็น 600,000 ล้านบาท ภายในเวลา 9-10 ปี ซึ่งแม้มูลค่าตลาดจะเติบโตมาก แต่เมื่อเทียบกับตลาดประกันในประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น หรือ สิงคโปร์ จะเห็นว่าสัดส่วนของประเทศไทยยังต่ำกว่าญี่ปุ่นราว 1 เท่า และต่ำกว่าสิงคโปร์ 2 เท่า แปลว่าโอกาสเติบโตยังมีอยู่มาก
“จากการทำรีเสิร์ชของแรบบิทไลฟ์คาดว่า คนไทยอีกกว่า 60% ยังเข้าไม่ถึงตลาดประกันชีวิต และใน 60% ก็แบ่งเป็นกลุ่มของคนเจนเนอเรชั่นใหม่ และกลุ่มของผู้มีรายได้ปานกลาง ซึ่งมีความสนใจเรื่องการออม ความคุ้มครอง และการดูแลเรื่องสุขภาพของตนเองเหมือนกัน แต่ด้วยกระบวนการขายในช่องทางเดิมๆ อาจจะยังไม่ตรงใจ และยังเข้าไม่ถึง แรบบิทไลฟ์จึงมองว่าเป็นโอกาสที่อยากจะเข้าสู่ตลาดกลุ่มใหม่ๆ เพิ่มขึ้น” คุณกรณ์ กล่าว
คิดโปรดักส์ที่ตอบโจทย์ลูกค้า
สำหรับการพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ แรบบิทไลฟ์ฟังความต้องการจากกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ว่าตามหาผลิตภัณฑ์อย่างไรบ้าง เพราะจุดเริ่มต้นของเขาอาจจะยังไม่ได้คิดเรื่องสุขภาพมากนัก ร่างกายยังแข็งแรง แต่ก็มีประเด็นที่คิดถึงเสมอ นั่นคือ เริ่มทำงานใหม่จะลดหย่อนภาษีได้อย่างไร ซึ่งผลิตภัณฑ์ลดหย่อนภาษีในตลาดก็มีระยะยาวถึง 10 ปีขึ้นไป และจะได้เงินคืนตอนครบ 10 ปี ไปแล้ว ถ้าฟังระยะเวลา 10 ปี มันนานมากกว่าจะได้เงินคืน อาจจะบริหาร Cashflow ตัวเองไม่ทัน ดังนั้นในปีนี้แรบบิทไลฟ์จึงออกผลิตภัณฑ์ใหม่ Hero 10/3 ที่จ่ายเบี้ยประกัน 3 ปี แต่คุ้มครอง 10 ปี โดยที่ทุกๆ ปี คืนเงินไปเลย 20% นอกจากนี้ยังมีการออกผลิตภัณฑ์รูปแบบอื่นๆ ที่ตอบโจทย์สอดคล้องกับทุกความต้องการ
ตอกย้ำภาพลักษณ์แข็งแกร่ง
ส่วนการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง บีทีเอส กรุ๊ป เข้ามา เรียกว่าพลิกโฉมบริษัท 4 ด้านหลัก ได้แก่
1. สร้างความมั่นคงแข็งแกร่งให้กับบริษัท ถือเป็นเรื่องสำคัญมากในการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า เพราะเป็นการบริหารเงินของลูกค้าในระยะยาว
2. แบรนดิ้ง ที่เปลี่ยนมาเป็นแบรนด์แรบบิทที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ทำให้เป็นที่รู้จักได้ง่าย เมื่อรวมกับการโฆษณาของในกลุ่มบีทีเอสเอง ทำให้เมื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ออกไปทำให้เป็นที่รู้จักได้เร็วขึ้น
3. พันธมิตรในเครือ BTS มีจำนวนมาก ดังนั้นจึงมีโอกาสในการ Synergy สร้างช่องทางขายร่วมกัน เช่น แรบบิทแคร์ ที่เชี่ยวชาญในตลาดประกันรถยนต์ ก็สามารถสร้างความร่วมมือกันได้
4. กลุ่มบีทีเอสมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ มีสมาชิกถือบัตรแรบบิท มากกว่า 15 ล้านใบ ตรงนี้ก็เป็นจุดที่คาดว่าจะสามารถใช้ประโยชน์อะไรได้อีกมาก
อย่างไรก็ดี แรบบิทไลฟ์ ตั้งเป้าหมายเบี้ยรับใหม่รวมสิ้นปี 2565 แตะที่ 2,000 ล้านบาท เติบโตกว่าปีก่อนที่มีเบี้ยรับรวม 1,200 ล้านบาท และคาดว่าภายในปี 2568 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า จะมีเบี้ยรับรวมแตะระดับ 10,000 ล้านบาท ขึ้นเป็นท็อป 10 ของธุรกิจประกันชีวิต โดย คุณกรณ์ กล่าวประโยคเด็ดทิ้งท้ายว่า “เรามั่นใจว่าวิธีคิดของเราจะทำให้ลูกค้าสามารถเจอผลิตภัณฑ์ที่ตามหาอยู่ได้ ขอให้เราได้มีส่วนโอกาสในการที่จะผลักดันชีวิตคุณให้ก้าวกระโดดไปข้างหน้า ตามสโลแกนของเรา”