นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทาทา สตีล หรือ TSTH เปิดเผยว่า คาดปริมาณการขายเหล็กงวดผลประกอบการครึ่งปีหลัง (ต.ค.65-มี.ค.66) จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก (เม.ย.-ก.ย.65) ที่มีปริมาณการขายอยู่ที่ 6.11 แสนตัน เนื่องจากหมดช่วงฤดูฝน หรือภาวะน้ำท่วมไปแล้ว โดยคาดปริมาณการขายเหล็กในงวด Q3/66 จะทำได้ใกล้เคียงงวด Q2/66 (ก.ค.-ก.ย.65) ที่ระดับ 3.03 แสนตัน และคาดจะดีเพิ่มขึ้นในงวด Q4/66 (ม.ค.-มี.ค.66) จากคาดงานก่อสร้างของภาครัฐที่ทยอยเริ่มออกมา และมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง ประกอบกับเป็นช่วงการขายสำหรับภาคการก่อสร้าง และลูกค้ามีการสั่งซื้อสินค้ากลับเข้าสต็อกเพิ่มขึ้น
ขณะที่ภาพรวมปริมาณการใช้เหล็กสำเร็จรูปของไทย ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ส.ค.65) ยังมีการปรับตัวลดลง 11.2% YoY ตามปัจจัยลบที่ยังส่งผลกระทบอยู่ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อของไทยที่อยู่ระดับสูงราว 6%, ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และเงินบาทอ่อนค่า ส่งผลกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบที่ต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทได้มีความพยายามผลักดันการส่งออกเหล็กเส้นให้มากขึ้นเพื่อชดเชยยอดขายในประเทศที่ชะลอตัว ซึ่งจากเดิมมีสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 8-10% ของยอดขายรวม แต่ในงวด Q2/66 บริษัทสามารถผลักดันการส่งออกได้เพิ่มขึ้นเป็น 14-15%
นอกจากนี้ มีการปรับปรุงสินค้าเพื่อกระตุ้นยอดขาย อาทิ มีการเปลี่ยนการขายปลีกเหล็กเส้น 100% ไปเป็นเหล็กเส้นพิเศษต้านแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว โดยตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้น 50% ในปีนี้ เมื่อเทียบกับ YoY และมีแผนส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ ขึ้นอยู่กับความต้องการของประเทศนั้นๆ รวมถึงมีการส่งออกเหล็กยาวพิเศษ 18 เมตร ไปยังบางประเทศที่มีความต้องการใช้งาน
อย่างไรก็ดีคาดปริมาณการขายเหล็กของบริษัทงวดปี 66 น่าจะปรับตัวลงราว 5% เมื่อเทียบปีก่อนที่ 1.33 ล้านตัน
ส่วนแนวโน้มราคาขายเหล็กในช่วง Q3 คาดจะลดลงอีกราว 1-1.5 พันบาท/ตัน ลดลงจาก Q2 อยู่ที่ 2.5 หมื่นบาท/ตัน และลดลงจาก Q1 ราคาอยู่ที่ 2.8 หมื่นบาท/ตัน จากความต้องการใช้เหล็กที่ลดลง และต้นทุนภาคพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมองว่าโอกาสที่ราคาขายเหล็กจะกลับไปสู่ระดับ 3 หมื่นบาท/ตัน น่าจะเป็นไปได้ยากในช่วง 1-2 ปีถัดจากนี้ ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว