STADA ขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพเข้าสู่ตลาดเอเชียแปซิฟิก และ ได้รับสิทธิ์ในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Nizoral Cream™ ในบางประเทศ รวมถึงประเทศไทย
STADA เข้าซื้อลิขสิทธิ์ครอบครองยารักษาโรคทางผิวหนังยี่ห้อ Nizoral Cream ในประเทศไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ รวมถึงจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในฮ่องกง ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย นิวซีแลนด์ และสิงคโปร์
การซื้อลิขสิทธิ์ในครั้งนี้ถือเป็นการสานต่อความสำเร็จของ STADA ในการเข้าซื้อกิจการในเครือ Nizoral ในหลายตลาดของภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
สเตฟาน แจ็กมิน (Stephane Jacqmin) รองประธานบริหารตลาด Emerging market ของ STADA กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งกับก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การเข้าซื้อสิทธิ์ในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างบทบาทของ STADA ในฐานะพาร์ทเนอร์ด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ผู้บริโภคไว้วางใจ”
STADA (สตาดา) บริษัทชั้นนำด้านเวชภัณฑ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ได้ขยายธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพผู้บริโภคมายังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยการเข้าซื้อ Nizoral Cream จากบริษัท Janssen Pharmaceutica NV ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Johnson & Johnson
ภายใต้เงื่อนไขและข้อตกลง STADA ได้เข้าซื้อสิทธิ์การจัดจำหน่าย Nizoral Cream ในประเทศไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ รวมถึงสิทธิ์ครอบครองเครื่องหมายการค้าในฮ่องกง ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย นิวซีแลนด์ และสิงคโปร์
ธุรกรรมในครั้งนี้ถือเป็นการขยายข้อตกลงในการซื้อในครั้งก่อนมายังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งในปี 2561 STADA ประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อแบรนด์ Nizoral ในตลาดหลัก ๆ เช่น ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
สเตฟาน แจ็กมิน (Stephane Jacqmin) รองประธานบริหารตลาด Emerging market ของ STADA กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งกับก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การร่วมมือกันในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างบทบาทของ STADA ในฐานะพาร์ทเนอร์ในเรื่องผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคด้านสุขภาพที่ผู้บริโภคไว้วางใจ”
เกี่ยวกับ STADA Arzneimittel AG
บริษัท STADA Arzneimittel AG มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองบาดวิลด์บาด ประเทศเยอรมนี มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์หลักสามประเภท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคด้านสุขภาพ ยาสามัญ และเวชภัณฑ์เฉพาะทาง
นอกจากนี้ บริษัทยังจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในกว่า 115 ประเทศทั่วโลก ในปีงบ ประมาณ 2566 STADA มียอดขายรวมกว่า 3.73 พันล้านยูโร และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายกว่า 802.1 ล้านยูโร รวมถึงมีพนักงานกว่า 11,667 คนทั่วโลก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566